เกร็ดความรู้

2 พฤศจิกายน 2564

แบตรถหมด รู้ได้อย่างไร?

แบตรถหมด รู้ได้อย่างไร?


แบตเตอรี่คือแหล่งพลังงานสำคัญของรถยนต์ แต่หากไม่ได้ใส่ใจมากพอก็อาจเกิดปัญหาแบตเตอรี่รถหมดกระทันหันหรือแบตรถหมดกลางทางขึ้นมาได้ เพราะแค่เผลอเปิดไฟหน้ารถทิ้งไว้หรือปล่อยให้แบตเสื่อม ก็ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ของเราหมดได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น มารู้จักวิธีสังเกตสัญญาณเตือนแบตรถหมดและวิธีแก้ไขกันไว้ก่อนดีกว่า!


เมื่อแบตรถหมดจะรู้ได้อย่างไร มีอาการแบบใดที่เครื่องยนต์จะแสดงออกมาให้รับรู้ก่อนบ้าง เกร็ดความรู้จากโตโยต้า ลีสซิ่ง จะพาไปหาคำตอบพร้อม ๆ กัน เพื่อจะได้รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ ก่อนจะเจอกับปัญหาแบตเตอรี่รถหมดระหว่างทาง ซึ่งหลัก ๆ จะมี 4 สัญญาณเตือนดังนี้


1.    รถสตาร์ทติดยากในตอนเช้า
2.    รถสตาร์ทติดยากในตอนที่จอดรถทิ้งไว้ชั่วคราว
3.    รถสตาร์ทติดยากเมื่อจอดรถทิ้งไว้ประมาณ 3-5 วัน (แต่อาการนี้อาจต้องเช็กระบบไฟร่วมด้วยว่ามีอาการไฟ       รั่ว หรือเป็นเพราะแบตเตอรี่กันแน่)
4.    สัญญาณไฟเตือนบางระบบขึ้นแจ้งเตือน เช่น สัญญาณไฟรูปเครื่องยนต์
เมื่อสังเกตเห็นอาการเหล่านี้เมื่อไร ให้สงสัยไว้ก่อนว่าแบตเตอรี่รถใกล้หมดหรือเกิดอาการแบตเสื่อม ให้รีบเปลี่ยนแบตโดยด่วน หรือหากบางคนเพิ่งเปลี่ยนแบตมาใหม่ อาจต้องพ่วงแบตเพื่อชาร์จไฟให้แบตเตอรี่อีกครั้งเพื่อป้องกันปัญหาแบตรถหมดที่อาจเกิดขึ้นตามมา


วิธีแก้ไขเมื่อแบตรถหมด
การแก้ไขเมื่อแบตเตอรี่รถหมดไม่ใช่เรื่องยาก เราสามารถทำได้โดย “การพ่วงแบต” ตามขั้นตอนต่อไปนี้
1.    ขอความช่วยเหลือจากรถยนต์คันอื่น ๆ เพื่อให้มาพ่วงแบตเตอรี่ให้ โดยจอดรถหันฝากระโปรงหน้าให้ใกล้กันมากที่สุดจากนั้นดับเครื่องยนต์
2.    หนีบสายพ่วงแบตขั้วบวก (สีแดง) เข้ากับขั้วบวกของคันที่แบตรถหมด จากนั้นนำสายอีกฝั่งไปหนีบที่ขั้วบวกของรถคันที่มาช่วยพ่วงแบต
3.    หนีบสายพ่วงแบตขั้วลบ (สีดำ) เข้ากับขั้วลบของคันที่มาช่วย ส่วนอีกฟากนำไปหนีบที่ตัวถังของรถที่แบตหมด
4.    สตาร์ทรถคันที่มาช่วยทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที ระหว่างนี้ให้เร่งเครื่องบ้างเป็นระยะเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนประจุไฟฟ้า
5.    ลองสตาร์ทเครื่อง เพื่อดูว่ารถของเราว่าสตาร์ทติดหรือไม่ หากสตาร์ทติดแล้วให้ถอดสายพ่วงแบตออก โดยเริ่มถอดจากคันที่แบตรถหมดก่อน
6.    สตาร์ทรถทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง จากนั้นจะสามารถขับรถได้ตามปกติ แต่อย่าเพิ่งใช้ระบบไฟต่าง ๆ มากเกินไป หรือหากต้องการความอุ่นใจก็ให้นำรถเข้าอู่พื่อเช็กสภาพแบตและเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย


แม้ว่าการพ่วงแบตไม่ใช่เรื่องยาก แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อย คือห้ามสตาร์ทรถทั้งสองคันพร้อมกันเด็ดขาดเพราะอาจทำให้เกิดประกายไฟ เสี่ยงต่อการเกิดระเบิดหรืออุบัติเหตุอื่นได้ ที่สำคัญอย่าจุดไฟแช็ก สูบบุหรี่ หรือทำให้เกิดประกายไฟระหว่างการพ่วงแบตเป็นอันขาดเพื่อความปลอดภัยของเราเอง


ดังนั้นใครที่เห็นสัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่รถหมดทำให้เกิดอาการสตาร์ทติดยากหรือเครื่องติด ๆ ดับ ๆ ต้องรีบพ่วงแบตหรือเปลี่ยนแบตโดยด่วน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแบตรถหมดกลางทางจนอาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้


นอกจากต้องรอบรู้เรื่องแบตรถหมด และวิธีแก้ไขอย่างถูกวิธีจะช่วยให้รถของคุณปลอดภัยแล้ว การทำประกันภัยรถยนต์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามด้วยเช่นกัน และหากสนใจประกันรถยนต์อย่างครบวงจร* สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://toyotainsurancebroker.com/index.php

หมายเหตุ - *รายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้น เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด บริษัท โตโยต้า อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด ให้บริการด้านนายหน้าประกันภัยในเครือโตโยต้า ลีสซิ่ง

 

อ่านเกร็ดความรู้อื่นๆ ได้ที่ https://www.tlt.co.th/news/knowledge


 

กลับสู่หน้าหลัก

ข่าวแนะนำ