เกร็ดความรู้
23 พฤศจิกายน 2564
แนะการเลือกกล้องติดรถยนต์ ก่อนเสียเงินซื้อ
ในอดีตเวลาเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนอาจหาพยานบุคคลมายืนยันเหตุการณ์ได้ยาก แต่ปัจจุบันเรามีตัวช่วยดี ๆ อย่างกล้องติดรถยนต์ที่พัฒนาฟังก์ชันดี ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งหน้าจอที่คมชัด สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ไปจนถึงระบบบันทึกและลบบันทึกแบบอัตโนมัติ
ปัจจุบันมีกล้องติดรถยนต์ให้เลือกหลายแบรนด์ตามความชอบและงบประมาณ แต่จะเลือกกล้องติดรถยนต์อย่างไรให้เหมาะกับเราและใช้ได้คุ้มค่าที่สุด วันนี้ เกร็ดความรู้จากโตโยต้า ลีสซิ่ง มีวิธีการเลือกกล้องติดรถยนต์มาฝาก ดังนี้
1. ความละเอียดในการบันทึกวิดีโอ
การเลือกกล้องติดรถยนต์ในปัจจุบัน สิ่งแรกที่ต้องนำไปพิจารณาก็คือความละเอียดในการบันทึกภาพหรือวิดีโอ ยิ่งคมชัดก็ยิ่งดี โดยกล้องที่ซื้อควรมีความละเอียดระดับ HD Ready (720p) ขึ้นไป หรือถ้าสามารถบันทึกภาพแบบ Full HD (1080p) ได้จะดีที่สุด
2. ค่า FPS ที่เหมาะสม
ค่า FPS ของกล้องติดรถยนต์ หมายถึง Frame Per Second หรืออัตราเฟรมภาพต่อวินาที ยิ่งมีค่า FPS สูงก็ยิ่งบันทึกภาพได้ลื่นไหล ต่อเนื่อง นุ่มนวล สมจริง แต่ยิ่งค่า FPS สูงก็ยิ่งทำให้เปลืองพื้นที่เมมโมรีการ์ด ดังนั้นอาจจะเลือกกล้องที่ค่า FPS ประมาณ 30 FPS ซึ่งถือว่ากำลังดีสำหรับกล้องติดรถยนต์
3. ฟังก์ชันในการถ่ายวิดีโอกลางคืน
เดี๋ยวนี้จะเลือกกล้องสำหรับติดรถยนต์สักตัว คงมองข้ามความสามารถในการถ่ายภาพที่มีแสงน้อยหรือการถ่ายภาพเวลากลางคืนไปไม่ได้ เพราะไม่อาจรู้ได้เลยว่าจะเกิดเหตุจำเป็นเร่งด่วนขึ้นมาตอนไหน ทางที่ดีการเลือกกล้องติดรถยนต์ควรเลือกกล้องที่มีฟังก์ชัน WDR ( Wide Dynamic Range ) ที่ช่วยให้การบันทึกภาพในที่แสงน้อยมีความคมชัดมากขึ้นจะดีกว่า
4. ค่ารูรับแสง
อย่าเพิ่งคิดว่าการดูค่ารูรับแสงเป็นเรื่องปวดหัว แค่จำว่ารูรับแสงหรือค่า F ยิ่งน้อย รูรับแสงก็ยิ่งกว้าง ซึ่งจะทำให้ได้ภาพมีมิติชัดลึก ดังนั้นหากกล้องติดรถยนต์ที่เราสนใจระบุค่ารูรับแสงมาด้วย ให้ลองดูก่อนว่ามีค่า F น้อยหรือมาก เพื่อเป็นหนึ่งในปัจจัยก่อนตัดสินใจซื้อนั่นเอง
5. ฟังก์ชัน G-sensor
ฟังก์ชัน G-Sensor คือระบบตรวจจับแรงสั่นสะเทือนเป็นระบบอัจฉริยะเมื่อกล้องตรวจพบแรงสั่นสะเทือนที่ผิดปกติ เช่น เวลาเกิดอุบัติเหตุ จะทำการล็อกไฟล์ภาพที่บันทึกอยู่ตอนนั้นออกมาเก็บไว้ในโฟลเดอร์พิเศษเพื่อป้องกันการถูกบันทึกทับ ป้องกันไฟล์นั้นหายไป เผื่อกรณีเกิดอุบัติเหตุหรือเกิดเหตุจำเป็นที่ต้องใช้ไฟล์วิดีโอนั้น
6. ฟังก์ชันตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion detect)
นอกจาก G-Sensor แล้ว อีกฟังก์ชันที่ขาดไม่ได้สำหรับกล้องติดรถยนต์ก็คือฟังก์ชันตรวจจับความเคลื่อนไหว ( Motion detect) ที่จะทำให้กล้องเริ่มบันทึกภาพทันทีเมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหว
7. ประเภทแบตเตอรี่
กล้องติดรถยนต์มีทั้งรุ่นที่มีแบตเตอรี่ในตัว สามารถทำงานแบบไร้สายได้ และรุ่นที่ต้องเสียบสายชาร์จแบต ตลอดเวลา เราสามารถเลือกได้ตามความสะดวกในการใช้งาน
8. การรับประกันจากแบรนด์
เนื่องจากกล้องติดรถยนต์เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นการมองหาแบรนด์หรือร้านที่มีการรับประกันในระยะเวลาที่เหมาะสมก็ช่วยให้มั่นใจในการใช้งานได้มากยิ่งขึ้น
9. รีวิวจากผู้ใช้งานจริง
สุดท้ายนี้ เมื่อถูกใจกล้องติดรถยนต์รุ่นไหน อย่าลืมค้นหารีวิวจากผู้ใช้งานจริงเสียก่อน เพื่อให้เห็นภาพการใช้งานและประสิทธิภาพจริงก่อนเลือกซื้อ
การเลือกกล้องติดรถยนต์นั้นไม่ใช่เรื่องยากเพราะเดี๋ยวนี้มีตัวเลือกและมีข้อมูลมากมายที่ช่วยในการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ซึ่งการมีกล้องติดรถไว้จะช่วยให้การเคลมประกันภัยรถยนต์เวลาเกิดเหตุเฉี่ยวชนหรือเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น ดังนั้นถ้าใครกำลังมองหาประกันรถยนต์อย่างครบวงจร* ที่ตอบโจทย์เรื่องการเคลมประกัน สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://toyotainsurancebroker.com/index.php
หมายเหตุ - *รายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้น เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด บริษัท โตโยต้า อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด ให้บริการด้านนายหน้าประกันภัยในเครือโตโยต้า ลีสซิ่ง
ส่วนใครที่ยังลังเลไม่รู้จะซื้อกล้องติดรถยนต์อย่างไร ให้ลองนำแนวทางการเลือกซื้อกล้องติดรถยนต์ทั้ง 9 ข้อที่โตโยต้า ลีสซิ่ง นำมาฝากไปใช้ในการพิจารณากันได้เลย
อ่านเกร็ดความรู้อื่น ๆ ได้ที่ https://www.tlt.co.th/news/knowledge
ข่าวแนะนำ
© 2018 สงวนสิทธิ์โดย บริษัท โตโยต้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด