เกร็ดความรู้

14 ธันวาคม 2568

ขับรถลุยน้ำท่วม เครื่องดับกลางทาง! ต้องทำอย่างไร?

ขับรถลุยน้ำท่วม เครื่องดับกลางทาง! ต้องทำอย่างไร?


เมื่อกำลังขับรถลุยน้ำที่ท่วมขัง แล้วจู่ ๆ เครื่องดับกลางน้ำ! คงเป็นสถานการณ์ที่ไม่มีใครอยากเจอ ท่ามกลางความตื่นตระหนก สิ่งที่คุณทำใน 5 นาทีแรก จะเป็นตัวตัดสินว่า รถของคุณจะเสียหายแค่ไหน และนี่คือสิ่งที่ “ต้องทำ” และ “ห้ามทำ” โดยเด็ดขาด คำแนะนำที่โตโยต้า ลีสซิ่ง นำมาบอกกันนี้  เปรียบเสมือนคู่มือ ที่จะนำทางคุณให้ผ่านพ้นสถานการณ์สุดเลวร้ายนี้  โดยให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด
สิ่งแรกและสำคัญที่สุด ห้ามทำสิ่งนี้เด็ดขาด!
สัญชาตญาณแรกของคนส่วนใหญ่เมื่อรถลุยน้ำดับ คือการพยายามบิดกุญแจหรือกดปุ่มสตาร์ทซ้ำ ๆ ด้วยความหวังว่าเครื่องยนต์จะกลับมาติดอีกครั้ง... หยุดความคิดนั้นทันที!


การพยายามสตาร์ทรถ ที่เพิ่งขับลุยน้ำแล้วดับ คือสิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด และเป็นความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดที่สามารถเปลี่ยนค่าซ่อมจากหลักพัน ให้กลายเป็นหลักแสนได้ในพริบตา เพราะการกระทำดังกล่าวมีความเสี่ยงสูง ที่จะทำให้เกิดอาการ "Hydrolock" หรือน้ำเข้าไปอัดในกระบอกสูบ จนเครื่องยนต์พังเสียหายอย่างรุนแรง
ทำไมถึงห้ามสตาร์ทรถที่ลุยน้ำดับ? (รู้จักกับอาการ 'Hydrolock' หรือ 'ก้านสูบคด')
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองนึกภาพการทำงานของเครื่องยนต์ปกติ ที่ลูกสูบจะเคลื่อนที่ขึ้นเพื่อ "อัดอากาศ" ที่ผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งอากาศสามารถถูกบีบอัดได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่รถขับลุยน้ำแล้วดับ มีโอกาสสูงที่น้ำจะถูกดูดเข้าไปในห้องเผาไหม้แทนที่อากาศ ปัญหาคือ "น้ำ" ไม่สามารถถูกบีบอัดได้!
ดังนั้น เมื่อคุณพยายามสตาร์ทรถ ลูกสูบจะยังคงพยายามเคลื่อนที่ขึ้นด้วยแรงมหาศาล เพื่ออัดน้ำที่อยู่ในกระบอกสูบ เมื่อน้ำไปต่อไม่ได้ แรงทั้งหมดนั้นจะย้อนกลับมา ทำลายชิ้นส่วนที่อ่อนแอที่สุด ซึ่งก็คือ "ก้านสูบ" ทำให้ก้านสูบคดงอหรือหักทันที ความเสียหายระดับนี้เรียกว่า Hydrolock ซึ่งเป็นหายนะของเครื่องยนต์และมีค่าซ่อมแซมสูงมาก

5 ขั้นตอนที่ต้องทำทันทีเมื่อรถดับกลางน้ำ
หากคุณกำลังสงสัยว่า ขับรถลุยน้ำแล้วเครื่องดับทํายังไง ให้ทำตาม 5 ขั้นตอนนี้อย่างมีสติ
1.    สิ่งแรกที่ต้องทำคือ การส่งสัญญาณให้รถคันอื่นรู้ว่า รถของคุณมีปัญหา กดปุ่มเปิดไฟฉุกเฉิน (Hazard Lights) ทันที จากนั้นประเมินความปลอดภัยของตัวเอง หากระดับน้ำยังไม่สูง และคุณสามารถอยู่ในรถได้อย่างปลอดภัย ให้รอความช่วยเหลืออยู่ในรถ แต่ถ้าระดับน้ำเริ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นอันตราย ให้ออกจากรถและไปอยู่ในที่ที่สูงและปลอดภัยกว่า
2.    ลองสังเกตดูว่า ระดับน้ำที่ท่วมขังนั้นสูงแค่ไหนเมื่อเทียบกับตัวรถ สูงถึงขอบประตู, เกินครึ่งล้อ, หรือเริ่มเข้ามาในห้องโดยสารแล้ว? ข้อมูลนี้สำคัญมาก สำหรับแจ้งข้อมูลกับช่างและบริษัทประกันภัย
3.    นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด โทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉินหรือบริการรถยก (แนะนำให้ใช้รถสไลด์ ไม่ใช่รถลาก) เพื่อนำรถออกจากพื้นที่น้ำท่วมโดยเร็วที่สุด และในระหว่างที่รอ ให้โทรแจ้งบริษัทประกันภัย เพื่อรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที
4.    แม้จะออกจากรถแล้วก็ตาม ไม่ควรล็อกรถในทันที เพราะหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ที่ระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว การที่รถไม่ได้ล็อกอาจช่วยให้เจ้าหน้าที่กู้ภัย สามารถเข้าไปในรถเพื่อเคลื่อนย้ายรถได้ง่ายขึ้น หรือหากคุณจำเป็นต้องกลับเข้าไปในรถ เพื่อหยิบของสำคัญก็จะทำได้สะดวกกว่า
5.    หากระดับน้ำไม่สูงมากและคุณมีความรู้เรื่องช่างยนต์เบื้องต้น และสามารถทำได้อย่างปลอดภัย การถอดขั้วแบตเตอรี่ (เริ่มจากขั้วลบก่อนเสมอ) จะช่วยตัดระบบไฟฟ้าทั้งหมดของรถ และลดความเสี่ยง ที่จะเกิดการลัดวงจร ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อกล่อง ECU และระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ แต่หากไม่แน่ใจหรือไม่ปลอดภัย ห้ามทำเด็ดขาด ให้ข้ามขั้นตอนนี้ไป


หลังจากรถถูกย้ายแล้ว ต้องทำอะไรต่อ?
เมื่อรถของคุณถูกยกไปถึงอู่ หรือศูนย์บริการที่ปลอดภัยแล้ว สิ่งที่ควรทำคือ
•    แจ้งข้อมูลกับช่างอย่างละเอียด บอกช่างว่าเกิดอะไรขึ้น รถลุยน้ำดับที่ระดับความลึกเท่าไหร่ และที่สำคัญคือ ย้ำกับช่างว่าคุณไม่ได้พยายามสตาร์ทรถซ้ำ!
•    ให้ช่างตรวจสอบอย่างละเอียด ช่างผู้เชี่ยวชาญจะทำการตรวจสอบระบบต่าง ๆ เริ่มจากการถ่ายของเหลวทั้งหมด (น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเกียร์) เพื่อดูว่ามีน้ำเข้าไปปนเปื้อนหรือไม่ และตรวจสอบระบบไฟฟ้าทั้งหมด
•    ประสานงานกับประกันภัย ติดต่อกับบริษัทประกันภัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อดำเนินการเรื่องการประเมินความเสียหายและการเคลมค่าซ่อม
กฎเหล็กข้อเดียวที่สำคัญที่สุด และสามารถช่วยรักษาชีวิตเครื่องยนต์ของคุณได้คือ "รถลุยน้ำดับ ห้ามสตาร์ท" แม้จะเป็นสถานการณ์ที่น่าตกใจและชวนให้ตื่นตระหนก แต่การตั้งสติและทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง คือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ ทั้งเปิดไฟฉุกเฉิน, ประเมินสถานการณ์, โทรขอความช่วยเหลือ, และที่สำคัญคือ อดทนรอ การรับมืออย่างถูกต้อง ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเสียหาย จากหนักให้เป็นเบา แต่ยังช่วยให้ขั้นตอนการซ่อมและการเคลมประกันในภายหลังง่ายขึ้นอีกด้วย

กลับสู่หน้าหลัก

ข่าวแนะนำ